You will never walk alone

Chutarat

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Colors

แผนการสอนเรื่อง Colors
สาระสำคัญ
การฝึกทักษะการฟัง และการพูดเกี่ยวกับสีต่างๆ เป็นประจำจะทำให้ใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว

จุดประสงค์การเรียนรู้
1.นักเรียนสามารถออกเสียงคำศัพท์เกี่ยวกับสีได้ถูกต้อง
2.นักเรียนสามารถบอกสีของสิ่งของที่กำหนดได้ถูกต้อง
3.นักเรียนสามารถสะกดคำศัพท์เกี่ยวกับสีได้ถูกต้อง
4.นักเรียนสามารถระบายสีตามที่กำหนดให้ถูกต้อง

สาระการเรียนรู้
Vocabulary: white, black, pink, grey, yellow, green, blue, brown, red
Structure: what color is it? It is ______.

กระบวนการเรียนรู้
Warm up
1.ครูทักทายนักเรียนพร้อมทั้งนำเสนอเพลง The color song ให้นักเรียนฟังแล้วให้นักเรียนร้องตาม
จากนั้นครูนำสนทนาเกี่ยวกับเนื้อเพลงว่าเกี่ยวกับอะไร

Presentation
1.ครูนำเสนอบัตรภาพเกี่ยวกับสีต่างๆ ได้แก่ white, black, pink, grey, yellow, green, blue, brown, red ทีละภาพโดยครูออกเสียงให้นักเรียนฟัง แล้วให้นักเรียนออกเสียงตาม 2-3ครั้ง
2.ครูนำเสนอบัตรคำพร้อมกับบัตรภาพ พร้อมทั้งครูนำสะกดคำ ล้วให้นักเรียนออกเสียงตาม 2-3ครั้ง

Practice
1. ครูให้นักเรียนบอกสีตามบัตรคำที่ครูแสดงให้ดูพร้อมทั้งครูติดบัตรคำประกอบ
2.ครูให้นักเรียนฝึกสะกดคำ ออกเสียง และบอกความหมายของสีที่ครูกำหนดให้ถูกต้อง
3.ครูให้นักเรียนบอกสีของสิ่งของที่ครูนำมา โดยแบ่งนักเรียนออกเป็น2กลุ่ม โดยกลุ่มที่1นำสิ่งของขึ้นมาแล้วเป็นคนถามว่า What color is it? กลุ่มที่2ตอบว่า It is red. ถ้าเป็นสีแดง

Production
1.ให้นักเรียนวาดของเล่นที่ตนเองชอบมา1อย่างพร้อมทั้งระบายสีให้สวยงาม
พร้อมทั้งเขียนบรรยายใต้ภาพว่า It is สี + ของเล่น.

สื่อการเรียนการสอน
บัตรภาพสีต่างๆ ได้แก่ white, black, pink, grey, yellow, green, blue, brown, red
ตุ๊กตา ดินสอ ไม้บรรทัด ลูกบอล

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
1. สังเกตจากการความสนใจ และการร่วมกิจกรรม
2.สังเกตจากการออกเสียงคำศัพท์ และประโยคสนทนาถาม ตอบ

แผนการสอนเรื่อง Number 1-10

แผนการสอนเรื่อง Number 1-10

สาระสำคัญ
การฟัง และการออกเสียงเกี่ยวกับตัวเลข และสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเพื่อเป็นพื้นฐานในกาเรียนระดับสูง

จุดประสงค์การเรียนรู้
1.นักเรียนสามารถออกเสียงคำศัพท์เกี่ยวกับตัวเลขได้ถูกต้อง
2.นักเรียนสามารถบอกจำนวนสิ่งของจำนวนไม่เกิน10เป็นภาษาอังกฤษได้ถูกต้อง
3.นักเรียนสามารถบอกตัวเลข1-10จากบัตรภาพเป็นภาษาอังกฤษได้ถูกต้อง

สาระการเรียนรู้
Vocabulary : one, two, three, four, five, six, seven, eight, nine, ten, count, what, number, a chair, a pencil, a dog, a cat a bird

กระบวนการเรียนรู้
Warm up
1. ครูทักทายนักเรียน พร้อมทั้ง ทบทวนคำศัพท์จากบัตรภาพ เช่น a chair, a pencil
a dog, a cat a bird เป็นต้น ครูชูบัตรภาพ a pencil แล้วถามนักเรียนว่าในบัตรภาพมีดินสอกี่แท่ง
ครูถามนักเรียนต่อว่าใครรู้ว่าตัวเลขภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร พร้อมทั้งครูบอกนักเรียนว่า Numbers แล้วให้นักเรียนออกเสียงตาม

Presentation
1.ครูแสดงบัตรตัวเลข 1-10 ทีละใบ พร้อมทั้งครูออกเสียงนับ one, two, three, four, five, six, seven, eight, nine, ten พร้อมทั้งให้นักเรียนออกเสียงตาม
2. ครูแสดงภาพดอกไม้ที่เตรียมไว้ทีละ 1, 2, 3,4,5,6,7,8,9 และ 10 พร้อมทั้งครูออกเสียงนับ one, two, three, four, five, six, seven, eight, nine, ten แล้วให้นักเรียนออกเสียงตามครูพร้อมกันทั้งชั้น ทีละแถว ที่ละกลุ่ม ทีละคู่ และทีละคน

Practice
1.ครูแสดงบัตรตัวเลข 1-10 ทีละใบ พร้อมทั้งให้นักเรียนฝึกออกเสียงทั้งห้อง ทีละกลุ่ม
โดยครูอาจจะสลับตัวเลขที่นักเรียนออกเสียงไม่คล่องบ่อยๆ
2.ครูแสดงดอกไม้ที่เตรียมไว้ โดยสุ่มจำนวนดอกไม้ แล้วให้นักเรียนออกเสียงทั้งห้อง ฝึกจนคล่องแล้วถามทีละกลุ่ม
ทีละคน
โดยอาจจะให้คนที่ตอบออกมาเขียนตัวเลขบนกระดาน

Production
1.ครูให้นักเรียนทำกิจกรรม โดยเติมตัวเลขลงในลูกแอปเปิล และวาดรูปตาม
จำนวนตัวเลข และระบายสีลงในสมุด โดยครูเขียนคำศัพท์จำนวนตัวเลขให้บนกระดาน

สื่อการเรียนการสอน
1.บัตรคำ
2.สมุด
3.ภาพดอกไม้

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
1.สังเกตจากการร่วมกิจกรรม ความสนใจ
2.สังเกตจากความถูกต้องของการออกเสียง
3.สังเกตจากความถูกต้องของการทำงานในwork book และความเรียบร้อยของชิ้นงาน

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษ

เคล็ดลับ การ เรียนภาษาอังกฤษ ให้ เก่งลองอ่านดูนะ แล้วช่วยเพิ่มเติมวิธีการเรียนภาษาอังกฤษกันมา เพื่อคนไทยได้เก่งอังกฤษกันการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เราจะต้องมี Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีกับสิ่งนี้ หากคุณไม่ทราบว่าอะไรคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดี คืออะไร ลองย้อนกลับไปมองสิ่งต่างๆ ที่คุณเคยอยากได้ อยากมีสิครับ ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากได้เสื้อผ้าดีๆ สวยๆ กระเป๋ายี่ห้อดังๆ หรือ แม้แต่ตอนที่คุณจีบแฟนคุณ เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะคุณมี Passion ซึ่งทำให้คุณทุ่มเทพละกำลัง ความตั้งใจ ความพยายามให้ได้มันมา เพราะรู้ว่า มันมีค่ากับคุณแน่นอนภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน สิ่งแรกที่คุณต้องมีคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีต่อภาษาอังกฤษ ซึ่งเราต้องคิดต่อว่า แล้วเราจำเป็นต้องรู้ หรือ มีภาษาอังกฤษไว้ทำไม คำตอบคิอ ต้องมีครับ (Must have) เพราะในปัจจุบันนี้ทุกอย่างในชีวิตประจำวันเราคือ ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนและการ ทำงาน อันจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าในทุกๆ ด้านในปัจจุบันนี้ การรู้ภาษาอังกฤษไม่ใช่เป็นเรื่องของความสามารถพิเศษแล้ว ลองจินตนาการการสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานของบริษัท เมื่อคุณตอบคำถามว่า คุณทราบภาษาอังกฤษ ผู้ที่สัมภาษณ์คุณไม่ได้มองว่าคุณมีความสามารถที่โดดเด่นไปจากคนอื่นเลย บางบริษัทที่มีชื่อเสียง ยังบังคับให้คุณไปสอบภาษาอังกฤษกับการสอบที่มาตรฐาน เช่น TOEIC, TOELF, IELS ตลอดจน CU-TEP, TU-GET แล้วนำคะแนนสอบที่ผ่านตามเกณฑ์มาร่วมพิจารณากับคุณสมบัติอื่นๆ ส่วนการสอบเข้าเรียนในระดับต่างๆ แทบไม่ต้องกล่าวถึง ต้องใช้คะแนนภาษาอังกฤษมาเป็นเกณฑ์ หรือ แทบจะเป็นตัววัดตัวสุดท้ายในการตัดสินในการเข้าศึกษายิ่งกล่าวไปทำให้เครียด จนมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อภาษาอังกฤษ เราลองย้อนกลับมาพิจารณา แล้วจะทำอย่างไรให้เก่งภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าคงไม่มีกฎเกณฑ์ใดตายตัว หากแต่จะเป็นเรื่องของการแนะนำส่วนตัว แต่ท้ายที่สุดต้องขึ้นกับผู้ที่ศึกษาเองว่ามี Passion แล้วทุ่มเทกับภาษาอังกฤษ แค่ไหน ดังนั้นผมขอแนะนำวิธีการเรียนรู้ที่สามารถนำเอาไปใช้ นะครับหากแยกประเภทการเรียนภาษาอังกฤษ ผมขอแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก คือ1. ไวยากรณ์ (Grammar)2. ศัพท์ (Vocabulary)3. การอ่าน (Reading)4. การเขียน (Writing)5. การฟัง (Listening)6. การพูด (Speaking)1. ไวยากรณ์ (Grammar)ไวยากรณ์ หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Grammar ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนไทยเรามาเป็นเวลาหลายสิบปี การเรียนรู้ภาษาอังกฤษขึ้นต้นของผู้เรียน ก็เริ่มจากการเรียนไวยากรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบสิบปี เรียนกันตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่ ก็ยังไม่จบ เลยทำให้มีคำถามตามมาว่า ทำไมต้องเรียน เรียนแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้จริงแล้วการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะทำให้ทราบถึงรูปแบบของภาษาในการเรียงถ้อยร้อยคำที่ถูกต้อง เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารให้เข้าใจระหว่างกัน การเรียนไวยากรณ์ต้องใช้ความอดทนในการทำความเข้าใจและจดจำ กฎ และข้อยกเว้นต่างๆ (ซึ่งข้อยกเว้นต่างๆ มักจะนำไปออกข้อสอบ) อีกทั้งต้องคอยสังเกตรูปแบบการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แทบจะไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากลองไปหาหนังสือไวยากรณ์ดีๆ สักเล่ม ลองเลือกเล่มที่ไม่ต้องหนามาก เอาขนาดกลางๆ ก็พอ แล้วค่อยๆ ศึกษา ทบทวน กอปรนึกถึงตอนเคยได้รับการเรียนรู้มาแล้ว จากนั้นทำแบบฝึกหัด หากคุณไม่สามารถบังคับตัวคุณให้ทำอย่างนี้ได้ ลองเดินไปเรียนพิเศษ หรือติวหลักไวยากรณ์ เพื่อจะได้เรียนรู้หลักการจำ การทำความเข้าใจภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะทำให้คุณเข้าใจไวยกรณ์ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อเรียนจบแล้ว คุณต้องกลับมาทบทวน ทำความเข้าใจเรื่อยๆ นะครับ มิฉะนั้นแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปคืนผู้สอนหมด ทำให้คุณเสียเงินและยังเสียเวลา แล้วไม่ได้อะไรอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษ (อังกฤษ: English language) เป็นภาษาตระกูลเจอร์เมนิกตะวันตก มีต้นตระกูลมาจากอังกฤษ เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแรกมากที่สุดเป็นอันดับ 3 (พ.ศ. 2545: 402 ล้านคน) ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลาง (lingua franca) เนื่องจากอิทธิพลทางทหาร เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรมของสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่นักศึกษาทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะว่าภาษาอังกฤษนั้นได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อผู้คนในหลากหลายอาชีพ ซึ่งบางอาชีพต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษมาช่วยประสานงาน ทำให้งานทุกอย่างนั้นง่ายราบรื่นและสำเร็จลงไปได้ด้วยดี
คำว่า อังกฤษ ในภาษาไทย มีที่มาจากคำอ่านของคำว่า Inggeris ในภาษามลายูที่ยืมมาจาก anglais (English) ( /ɑ̃glɛ/ (ข้อมูล)) ในภาษาฝรั่งเศส
ภาษาอังกลิช/แองกลิช (Angles) เป็นภาษาโบราณซึ่งใช้กันในชนชาติแองโกลที่อพยพสู่เกาะบริเตน และเป็นหนึ่งในภาษาแบบฉบับของภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้น หากพูดถึงภาษาแองกลิชแล้ว ก็ต้องระวังเสียงพ้องกับคำว่า ภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้มากเป็นอันดับ 3 หรือ 4 ของโลก รองลงมาจากภาษาจีน ภาษาฮินดี และใกล้เคียงกับภาษาสเปน